Accountability คืออะไร “Accountability คือ ความรับผิดชอบ” Accountability เหมาะกับใคร เหมาะกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นบุคคลภายในหรือนอกองค์กร เนื่องจากมีประโยชน์ในการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน อย่างไรก็ตาม ความสำคัญของ Accountability อยู่กับบุคคลที่มีตำแหน่งสูงขึ้นในองค์กร เช่น ผู้บริหาร หัวหน้าฝ่าย ผู้กำกับการดำเนินงาน ซึ่งมีหน้าที่ในการตัดสินใจและดำเนินงานในระดับสูง และมีผลกระทบต่อการทำงานของทีมและองค์กรในระยะยาว Accountability หมายถึงอะไร คำว่า “accountability” หมายถึง ความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของการกระทำหรือการดำเนินงาน ซึ่งผู้รับผิดชอบจะต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำหรือการดำเนินงานของตนเอง นอกจากนี้คำว่า “accountability” ยังหมายถึงการต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบต่อผลกระทบหรือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของผู้อื่นด้วย ซึ่งการรับผิดชอบนี้จะต้องมีการรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่ได้รับเพียงพอและแสดงให้เห็นว่ามีการประเมินผลและการดำเนินการปรับปรุงในกรณีที่มีผลกระทบที่ไม่ดีหรือผิดพลาดเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม หมายความว่า นอกจากต้องเป็นผู้รับผิดชอบแล้ว และต้องเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะรับผิดชอบ หรือจะต้องแก้ไขปัญหา แก้ไขความผิดพลาดเมื่อเกิดขึ้นแบบไหนด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งความรับผิดชอบนี้จะต้องมีการตรวจสอบและควบคุมโดยผู้มีอำนาจที่เหมาะสม โดยหลักการนี้ใช้ในหลายด้านของชีวิต เช่น การทำธุรกิจ การดำเนินงานรัฐบาล และความสัมพันธ์ส่วนตัว ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ส่งเสริมความโปร่งใส และช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานเข้าใจความสำคัญของการปฏิบัติตามหลักการขององค์กร ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และคุณภาพของงาน Accountability แตกต่างจาก responsibility Accountability และ Responsibility เป็นคำที่มักถูกใช้และเข้าใจผิดเป็นอย่างมาก โดยหลักการคือความรับผิดชอบในการกระทำหรือ การดำเนินงาน …………..อ่านเนื้อหากันเลย
Category Archives: academic
กลยุทธ์ราคา คืออะไร กลยุทธ์ราคา (Price strategy) คือ วิธีการใช้ราคาของสินค้าหรือบริการ เพื่อเพิ่มผลกำไร และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในตลาด กลยุทธ์ราคาจะเน้นไปที่การกำหนดราคาของสินค้าหรือบริการในมุมมองของผู้ซื้อ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ เพิ่มกำไร ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ตลาดและการแข่งขันในตลาด กลยุทธ์ราคาสามารถใช้ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น กำหนดราคาต่ำกว่าคู่แข่ง เพื่อดึงดูดลูกค้า หรือกำหนดราคาสูงกว่าคู่แข่งเพื่อสร้างความเป็นไปได้ในการเพิ่มกำไร นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์ราคาอื่นๆ เช่น การกำหนดราคาของสินค้าหรือบริการเป็นชุดๆ เพื่อสร้างความน่าสนใจแก่ลูกค้า การลดราคาสำหรับการโปรโมชั่น เป็นต้น ความเป็นมากลยุทธ์ราคา (Price strategy) ประวัติกลยุทธ์ราคาเกี่ยวข้องกับการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของตลาด โดยกลยุทธ์ราคาเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ช่วยสร้างกำไรและสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าในตลาด ในปี 1938 นักเศรษฐศาสตร์ชื่อ Philip Kotler ได้เริ่มพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับกลยุทธ์การกำหนดราคาในการทำการตลาด ซึ่งได้รับการพัฒนาต่อยอดและเจริญเติบโตในอดีต หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง การตลาดกลายเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจและการแข่งขันในตลาดก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงยุค 1950-1960 การตลาดเริ่มสร้างความสำคัญในการบริหารธุรกิจ โดยเฉพาะในด้านการกำหนดราคา แนวคิดเริ่มต้นของกลยุทธ์ราคาในช่วงนั้นเป็นการกำหนดราคาของสินค้าหรือบริการโดยอิงจากต้นทุน ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการที่ง่ายและเป็นที่นิยมในช่วงนั้น ในยุค 1970-1980 แนวคิดการกำหนดราคาเริ่มหันมาหลีกเลี่ยงการอิงราคาจากต้นทุนและเริ่มใช้วิธีการกำหนดราคาตามความต้องการของตลาด ซึ่งถือว่าเป็นการกำหนดราคาจากการวิเคราะห์ตลาดและการประยุกต์ใช้ มีการประมวลผลข้อมูลตลาด เพื่อหาความต้องการของลูกค้าและรูปแบบการซื้อขายที่เหมาะสม และจากนั้นกำหนดราคาสินค้าหรือบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดนั้น ๆ โดยการกำหนดราคาตามความต้องการของตลาดจะช่วยให้บริษัทสามารถดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างกำไรให้กับธุรกิจได้อย่างเหมาะสม …………..อ่านเนื้อหากันเลย
อำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity) ทางเศรษฐศาสตร์ คืออะไร อำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity, PPP) คือ หลักการในการประเมินความสมดุลของอัตราแลกเปลี่ยนที่อ้างอิงต่อราคาสินค้าและบริการในแต่ละประเทศ โดย PPP จะแสดงถึงสัดส่วนระหว่างมูลค่าเงินในแต่ละประเทศกับปริมาณสินค้าและบริการที่เงินนั้นสามารถซื้อได้ในแต่ละประเทศ หลักการของ PPP คือ หากสินค้าหนึ่งๆ มีราคาเท่ากันในทุกประเทศ และอัตราแลกเปลี่ยนก็อยู่ในสัดส่วนที่สอดคล้องกันกับอัตราส่วนนั้นๆ ของราคาสินค้าและบริการ ซึ่งจะแสดงว่ามูลค่าเงินในแต่ละประเทศเท่ากัน ดังนั้น ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีราคาเท่ากันจะมีค่าอย่างเท่าเทียมกันในทุกประเทศ ในการใช้ PPP สามารถช่วยในการวัดและเปรียบเทียบภาวะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศโดยใช้เกณฑ์ที่เป็นกลาง ทำให้สามารถประเมินค่าของสินค้าและบริการในแต่ละประเทศในเชิงเปรียบเทียบได้อย่างถูกต้องและสมเหตุสมผล โดยทั่วไปมักจะใช้ PPP ในการวัดระดับความเจริญของเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ และใช้ในการเปรียบเทียบรายได้เฉลี่ยของประชากรในแต่ละประเทศด้วยกัน อีกทั้ง PPP ยังสามารถใช้ในการประเมินการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการในแต่ละประเทศได้อีกด้วย โดยใช้ค่าเฉลี่ยของอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้า และบริการในแต่ละประเทศ หากมีการเปลี่ยนแปลงในอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการในประเทศใดๆ อาจจะทำให้ค่าของ PPP ในประเทศนั้นเปลี่ยนไปเช่นกัน และถึงแม้ว่า PPP จะมีประโยชน์ในการประเมินภาวะเศรษฐกิจ และการเปรียบเทียบรายได้เฉลี่ยของประชากรในแต่ละประเทศ แต่ยังมีข้อจำกัดในการใช้ PPP ด้วย เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำให้ค่า PPP ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เช่น ความแตกต่างของระบบเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ …………..อ่านเนื้อหากันเลย
ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศของ เฮคเชอร์-โอลิน (ออแลง) คืออะไร? ทฤษฎีการค้าเฮคเชอร์-โอห์ลิน คือ ทฤษฎีในด้านการค้าระหว่างประเทศ ที่อธิบายว่าทำไมประเทศต่างๆจะมีการค้ากันระหว่างประเทศ โดยพยายามอธิบายผลตอบแทนที่ได้จากการค้าของประเทศใดๆ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่มีอยู่ในประเทศ ได้แก่ แรงงาน (labor), ทุน (capital) และทรัพยากรธรรมชาติ (natural resources) ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการผลิตสินค้าของแต่ละประเทศ สถานการณ์พื้นฐาน: สองประเทศที่เหมือนกัน (A และ B) มีปัจจัยเริ่มต้นต่างกัน ดุลยภาพอิสระ ( AAAB ): ไม่มีการค้า การผลิตส่วนบุคคลเท่ากับการบริโภค ดุลการค้า: ทั้งสองประเทศบริโภคเท่ากัน ( CA = CB ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งนอกเหนือจาก ขอบเขตความเป็นไปได้ในการผลิตของตนเอง; จุดผลิตและบริโภคแตกต่างกัน ทฤษฎีนี้เองที่ชี้ให้เห็นว่าประเทศจะเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าที่ต้องการปัจจัยการผลิตที่มีมากในเศรษฐกิจของตนและจะส่งออกสินค้าเหล่านั้น ในขณะเดียวกันจะนำเข้าสินค้าที่ต้องการปัจจัยการผลิตที่ขาดแคลนในเศรษฐกิจของตน เนื่องจากแต่ละประเทศมักจะมีทรัพยากรการผลิตในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป การผลิตสินค้าชนิดใดก็จะขึ้นอยู่กับปริมาณและชนิดของทรัพยากรการผลิตที่แต่ละประเทศมีอยู่ ดังนั้นถ้าหากประเทศใดประเทศหนึ่งมีแรงงานจำนวนมาก กระบวนการผลิตขอ’ประเทศนั้นก็จะเป็น การผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น (labor intensive) ก็จะผลิตและส่งออกสินค้าที่ใช้แรงงานเป็นปัจจัยในการผลิต ซึ่งในทางตรงกันข้ามนั้น ถ้าหากประเทศใดประเทศหนึ่งมีปัจจัยทุนจำนวนมาก กระบวนการผลิตของประเทศ …………..อ่านเนื้อหากันเลย
ทฤษฎีวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (The Product life-cycle theory) คืออะไร ทฤษฎีวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (The Product life-cycle theory) หมายถึง การเติบโตของยอดขายผลิ ตภัณฑ์ชนิดใดชนิดหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไป เป็นกระบวนการที่ผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึง ขั้นตอนของการออกจากตลาดนั้นๆ ลักษณะ คือ เมื่อธุรกิจนำสินค้าเข้าสู่ตลาดถือเป็นจุดเริ่มต้น ของการแนะนำสินค้าให้ผู้คนโดยทั่วไปได้รู้จัก ได้มีการเติบโตไปจนถึงจุดที่ถดถอย ซึ่งมีองค์ประกอบร่วมขึ้นอยู่กับประเภทผลิตภัณฑ์ โดยบางผลิตภัณฑ์อาจใช้เวลาในแต่ละช่วงที่ยาวนานแตกต่างกัน มีปัจจัยต่างๆ อาทิ คู่แข่ง ความต้องการของผู้บริโภค ความอิ่มตัวของตลาด การศึกษารายละเอียดของวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์จะมีประโยชน์ต่อนักการตลาดและนักธุรกิจ การเรียนรู้ความต้องการของลูกค้า ในการวิเคราะห์ลักษณะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนของวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ ช่วยให้สามารถวางแผนการตลาด กำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด กำหนดส่วนประสมการตลาด (Marketing Mix) ได้ถูกต้องและเหมาะสม จึงเป็นที่นิยมกันในหมู่มาก วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า PLC PLC เป็นแนวคิดที่ใช้ในการอธิบายและวิเคราะห์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ของธุรกิจในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ทฤษฎีวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (The Product life-cycle theory) เกิดขึ้นในช่วงต้นปี …………..อ่านเนื้อหากันเลย
ทฤษฎีความได้เปรียบในการแข่งขันระหว่างประเทศ (National Competitive Advantage) คืออะไร ทฤษฎีความได้เปรียบในการแข่งขันระหว่างประเทศ (National Competitive Advantage) คือ ความสามารถของประเทศในการผลิตและส่งออกสินค้าหรือบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากกว่าประเทศอื่นๆ ความได้เปรียบทางการแข่งขันนี้มักขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติ แรงงานฝีมือ นวัตกรรมทางเทคโนโลยี นโยบายของรัฐบาลที่เอื้ออำนวย และโครงสร้างพื้นฐาน ความเป็นมา National Competitive Advantage ทฤษฎีที่พัฒนาโดยนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังชาวไทยชื่อ ศุภวัฒน์ ชูเวชชีวะ(Supachai Panitchpakdi) และนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังอื่นๆ เช่น ไมเคิล พอร์เตอร์ (Michael Porter) อาจารย์จาก Harvard Business School เพื่ออธิบายว่าทำไมบางประเทศมีความสามารถในการแข่งขันในการผลิตสินค้าและบริการในตลาดสากลได้ดีกว่าบางประเทศอื่น ๆ Porter ระบุว่าความสามารถในการแข่งขันของประเทศในอุตสาหกรรมหนึ่งๆ ขึ้นอยู่กับความสามารถของอุตสาหกรรมในการคิดค้นและยกระดับ ทฤษฎีของเขามุ่งเน้นไปที่การอธิบายว่าเหตุใดบางประเทศจึงมีการแข่งขันสูงในอุตสาหกรรมบางประเภท เพื่ออธิบายทฤษฎีของเขา Porter ได้ระบุปัจจัย 4 ประการที่เขาเชื่อมโยงเข้า ได้แก่ (1) ทรัพยากรและความสามารถของตลาดในท้องถิ่น (2) สภาวะความต้องการของตลาดในท้องถิ่น (3) ซัพพลายเออร์ในท้องถิ่นและอุตสาหกรรมเสริม …………..อ่านเนื้อหากันเลย
ทฤษฎีการฟัง คืออะไร ทฤษฎีการฟัง (Listening theory) เป็นแนวคิดที่กล่าวถึงกระบวนการฟังของบุคคล ซึ่งเน้น ความสำคัญของการฟังอย่างตรงประเด็นและมีการตีความให้เข้าใจอย่างถูกต้องตามจริง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความเข้าใจและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพกับผู้อื่น และให้การฟังเป็นการปรับปรุงทักษะสื่อสารที่ดีขึ้น การฟัง คือการให้ความสนใจกับเสียงหรือการกระทำ เมื่อฟัง คนๆ หนึ่งจะได้ยินสิ่งที่คนอื่นพูดและพยายามเข้าใจว่าหมายถึงอะไร การฟังเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางอารมณ์ การรับรู้ และพฤติกรรมที่ซับซ้อน กระบวนการทางอารมณ์รวมถึงแรงจูงใจในการรับฟังผู้อื่น กระบวนการรู้คิด รวมถึงการทำความเข้าใจ รับและตีความเนื้อหาและข้อความเชิงสัมพันธ์ กระบวนการทางพฤติกรรมรวมถึงการตอบสนองต่อผู้อื่นด้วยการตอบรับทั้งทางวาจาและอวัจนภาษา การฟังเป็นทักษะในการสร้างปัญหา การฟังที่ไม่ดีอาจนำไปสู่การตีความหมายที่ผิด จึงทำให้เกิดความขัดแย้งหรือข้อพิพาทได้ สาเหตุอื่นอาจเป็นการขัดจังหวะมากเกินไป การไม่ตั้งใจ ได้ยินสิ่งที่คุณต้องการจะได้ยิน การเรียบเรียงความคิดในการตอบสนองเชื่อมโยงกับความจำด้วย สิ่งสำคัญที่จำเป็นสำหรับการสื่อสารในชีวิตประจำวันและการทำงาน แต่การฟังไม่ใช่เพียงแค่การฟังเสียงเท่านั้น ยังเกี่ยวข้องกับการตีความเพื่อเข้าใจสาระของเสียงและสื่อสาร การฟังอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยสร้างความเข้าใจในเนื้อหาที่มีความซับซ้อนและช่วยให้เราได้รับข้อมูลอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทฤษฎีการฟังมีหลายแนวทางและแบ่งออกเป็นหลายระดับ ระดับพื้นฐานมีการแยกแยะระหว่างการฟังแบบรับรู้สัมผัส การฟังแบบมีส่วนร่วมและการฟังแบบทั่วไป ระดับสูงสุดของทฤษฎีการฟัง เน้นการศึกษาและวิเคราะห์กระบวนการฟังในมิติต่าง ๆ เช่น วัตถุประสงค์ของการฟัง การรับรู้สิ่งที่ได้ฟัง การตีความหมายในการฟัง เป็นต้น การฟังมี 5 ระดับ ระดับการฟัง (listening level) คือ ระดับที่แสดงถึงความสามารถของผู้ฟังในการรับรู้และเข้าใจสารสนเทศที่มาจากการพูดหรือเสียง โดยปกติแล้วมีการแบ่งระดับการฟังออกเป็น 5 ระดับ ระดับที่ …………..อ่านเนื้อหากันเลย
Empathy คืออะไร Empathy คือ ความเข้าใจ การเอาใจใส่และรับรู้ความรู้สึก ความต้องการของผู้อื่น โดยไม่เห็นด้วย ตาเปล่า สามารถรับรู้ได้ว่าผู้อื่นมีความรู้สึกอย่างไร เข้าใจในเหตุผล มุมมองของพวกเขาในสถานการณ์ต่าง ๆ สามารถช่วยให้สื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นเป็นอย่างมาก ความเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างสัมพันธ์และความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นในชีวิตประจำวัน สามารถพัฒนาและเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต การเรียนรู้จากประสบการณ์ การอ่านหนังสือ หรือการสนทนากับผู้อื่นที่มีประสบการณ์ในเรื่องต่าง ๆ จะช่วยเพิ่มความเข้าใจและความรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นได้อย่างดีขึ้น การเอาใจใส่ ความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น มองสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองของพวกเขา และจินตนาการว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ของพวกเขา โดยพื้นฐานแล้ว คือการทำให้ตัวเองอยู่ในสถานะของคนอื่นและรู้สึกถึงสิ่งที่พวกเขารู้สึก การเห็นอกเห็นใจ เมื่อคุณเห็นคนอื่นต้องทนทุกข์ เช่น หลังจากที่พวกเขาสูญเสียคนที่รักจะจินตนาการได้ทันทีว่าตัวเองกำลังประสบกับประสบการณ์เดียวกันนั้นและรู้สึกถึงสิ่งที่พวกเขากำลังประสบอยู่ ผู้คนสามารถปรับตัวเข้ากับความรู้สึกและอารมณ์ของตนเองได้ดี แต่การเข้าใจผู้อื่นอาจทำได้ยากกว่าเล็กน้อย ความสามารถในการรู้สึกถึงความเห็นอกเห็นใจช่วยให้ผู้คน เข้าใจอารมณ์ที่ผู้อื่นรู้สึก อ่านว่าอะไร Empathy อ่านว่า “เอมพาธี” คำนี้มาจากภาษาอังกฤษ ซึ่งหมายถึงความสามารถในการเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่นโดยไม่เห็นด้วยตาเปล่า คำภาษาอังกฤษว่า empathy มาจากภาษากรีกโบราณ ἐμπάθεια (empatheia หมายถึง “ความรักทางกายหรือความรัก”) คำนั้นมาจาก ἐν (en, “ใน, ที่”) และ …………..อ่านเนื้อหากันเลย
Sympathy คืออะไร Sympathy คือ ความเห็นอกเห็นใจ การรับรู้ ความเข้าใจ และการตอบสนองต่อความทุกข์หรือ ความต้องการของชีวิตรูปแบบอื่น ความห่วงใยที่เห็นอกเห็นใจนี้เกิดจากการเปลี่ยนมุมมองจากมุมมองส่วนตัวไปสู่มุมมองของกลุ่มหรือบุคคลอื่นที่ต้องการความช่วยเหลือ เพราะ “จิตใจของมนุษย์ทุกคนมีความคล้ายคลึงกันในด้านความรู้สึกและการทำงาน” และ “การเคลื่อนไหวของคนๆ หนึ่งจะสื่อสารตัวเองไปยังคนที่เหลือ” เกี่ยวข้องกับการเข้าใจและยอมรับสภาวะอารมณ์ของบุคคลอื่น ๆ การแสดงความเห็นอกเห็นใจสามารถทำได้โดยใช้คำพูดหรือการกระทำ เช่น การมอบคำปรึกษาหรือการให้การช่วยเหลือ การแสดงความเห็นอกเห็นใจเป็นส่วนสำคัญของความเห็นอกเห็นและการเชื่อมโยงทางสังคม สามารถช่วยสร้างความสัมพันธ์ ส่งเสริมความเชื่อมั่นและสร้างความร่วมมือในชุมชนได้ หมายความว่าอย่างไร ความเห็นอกเห็นใจ คือความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ เสียใจต่อความเจ็บปวด ความทุกข์ของผู้อื่น เมื่อคุณเห็นอกเห็นใจใครบางคน คุณจะเข้าใจและรับรู้ถึงสภาวะทางอารมณ์ของพวกเขา อาจรู้สึกเศร้าหรือเห็นอกเห็นใจในสิ่งที่พวกเขากำลังประสบอยู่ ความเห็นอกเห็นใจเกี่ยวข้องกับการแสดงความเมตตาและการสนับสนุนแก่ผู้ที่กำลังประสบกับความยากลำบากหรือความท้าทาย โดยสามารถแสดงออกผ่านการกระทำ เช่น การปลอบโยน การให้ความช่วยเหลือ เพียงแค่รับฟังอย่างตั้งใจ ความเห็นอกเห็นใจเป็นสิ่งสำคัญของความเชื่อมโยงของมนุษย์ และสามารถช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ สร้างความไว้วางใจ และสร้างความรู้สึก ที่มาความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ สำหรับความรู้สึกเห็นอกเห็นใจรวมถึง ความสนใจต่อเรื่อง เชื่อว่าเรื่องนั้นอยู่ในสภาวะที่ต้องการ และลักษณะเฉพาะของสถานการณ์ที่กำหนด ต้องการคำชี้แจง หากต้องการเห็นอกเห็นใจบุคคลหรือกลุ่ม ต้องสนใจพวกเขาก่อน สิ่งรบกวนเป็นสิ่งจำกัดความสามารถในการสร้างการตอบสนองความรู้สึก เมื่อไม่วอกแวก …………..อ่านเนื้อหากันเลย
Design thinking คืออะไร? Design Thinking คือ การคิดเชิงออกแบบ เป็นขั้นตอนการคิดหรือกระบวนการทางความคิด ในการพยายามทำความเข้าใจสมมติฐานต่างๆ และการกำหนดปัญหา เพื่อการแก้ปัญหาตลอดจนถึง สามารถนำไปสร้างสรรค์นวัตกรรมได้ โดยเน้นไปที่การเข้าใจความต้องการของผู้ใช้หรือลูกค้า และพัฒนาวิธีการแก้ไขที่มีนวัตกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว และมีวิธีการปรับใช้เพื่อให้สอดคล้องกับเพื่อฐานความเป็นกลาง ให้มากที่สุด ทั้งความเห็นใจ ความคิดสร้างสรรค์ แม้กระทั้งการทดลองต่างๆ ในทางการคิดเชิงออกแบบนั้น ต่างจาก “ความคิดสร้างสรรค์”(creativity) โดยทั่วๆไป คือ Design Thinking จะคำนึงถึงองค์ประกอบ 3 อย่างประกอบกัน คือ การแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ และ “คน” การคิดเชิงออกแบบจึงมีอีกชื่อคือ Human centered design ที่คนเป็นศูนย์กลางการแก้ปัญหา เป้นทักษะที่มุ่งเน้น การทำความเข้าใจว่าคนต้องการอะไร แทนที่วิธีการแบบเดิม ที่มักเริ่มต้นจาก “ปัญหา” Design Thinking หรือการคิดเชิงออกแบบ คือ กระบวนการทางความคิดในการพยายามทำความเข้าใจสมมติฐานต่างๆ และการกำหนดปัญหา และวิธีแก้ปัญหา เป็นการพัฒนาวิธีการคิดและการทำงานเป็นทีม เพื่อให้เกิดความสนใจอย่างลึกซึ่ง …………..อ่านเนื้อหากันเลย